X-Men: First Class
           โดยเรื่องราวใน X-Men: First Class ใช้ยุค 60 เป็นฉากหลัง และถูกนำไปโยงกับเหตุการณ์จริงซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็นระหว่างสองมหาอำนาจ อเมริกา กับ โซเวียต ที่ต่างฝ่ายก็งัดเอานิวเคลียร์มาจ้องทำลายล้างกัน จนทำให้สถานการณ์ตึงเครียดและสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ขณะเดียวกันนั้นเอง กลุ่มวายร้ายที่มีชื่อว่า Hellfire Club ซึ่งมี เซบาสเตียน ชอว์ (รับบทโดย เควิน เบค่อน) ก็จ้องจะฉวยโอกาสที่จะสร้างโลกใหม่หากสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้นจริง!
           นอกจาก มิชาเอล ฟาสเบนเดอร์ รับบท เอริค เลห์นเชอร์ (แม็คนีโต), เจมส์ แม็คอะวอย รับบท ชาร์ลส์ เซเวียร์ (โปสเฟสเซอร์เอ็กซ์) เรายังจะได้เห็นที่มาที่ไปของเหล่าบรรดามิวแทนต์คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น แฮงค์ แม็คคอย หรือ บีสต์ (รับบทโดย นิโคลัส โฮลต์) นักวิทยาศาสตร์หนุ่มที่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดหน้าขน, เรเวน ดาร์คโฮม หรือ มิสทีค (รับบทโดย เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์) สาวตัวฟ้านักแปลงร่าง คนสนิทของชาร์ลส์ ที่ตอนหลังแปรพักตร์ไปอยู่กับแม็คนีโต,ไวท์ ควีน หรือ เอ็มม่า ฟรอสต์ (รับบทโดย แจนยัวรี่ โจนส์) สาวที่แปลงร่างเป็นเพชรได้ และเป็นมือขวาของกลุ่ม Hellfire Club
          
 X-Men: First Class (x-เม็น รุ่น 1)
           เรื่องราวของจุดกำเนิดของเรื่องราวอันยาวนานของ X-Men เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาอันเป็นความลับของโลก ก่อนที่บรรดามนุษย์กลายพันธุ์จะกำเนิดขึ้นมาบนโลกนี้ และเรื่องราวก่อนที่ Charles Xavier และ Erik Lensherr จะกลายมาเป็นชื่อ Professor X และ Magneto ซึ่งเป็นเรื่องราวสมัยที่ทั้งคู่ยังไม่มาเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน และเป็นเพื่อนสนิทกัน รวมถึงเป็นสองคนแรกที่รับรู้และสามารถควบคุมพลังการกลายพันธุ์ของตนเองได้ และยังทำงานร่วมกันกับมนุษย์กลายพันธุ์คนอื่นในการกำจัดศัตรูอย่าง Armageddon อีกด้วย และรวมถึงการเปิดเผยสาเหตุที่ทำให้ทั้ง Professor X และ Magneto เกิดความบาดหมางและกลายเป็นศัตรูกันจนทุกวันนี้
           แต่ว่าด้วยเรื่องของเพื่อนสองคนที่กลายเป็นศัตรูกันนั่นคือ โปสเฟสเซอร์เอ็กซ์ กับ แม็คนีโต ที่ไม่ลงรอยกันในแนวคิดที่ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่ามิวแทนต์สามารถอยู่ร่วมกับคน ธรรมดาได้ และก่อตั้งโรงเรียนสำหรับมนุษย์กลายพันธุ์ขึ้น ส่วนอีกฝ่ายเชื่อว่ามนุษย์กลายพันธุ์มีอำนาจเหนือคนธรรมดา จึงแยกออกมาตั้งกลุ่มเพื่อปลดปล่อยมนุษย์กลายพันธุ์     ตั้งแต่ยังเป็นเด็กไม่ว่า จะเป็น ชาร์ลส์ เซเวียร์ ที่สนใจเรื่องราวความผิดปกติของยีนในร่างกายมนุษย์ก่อนจะผันผวนตัวเป็น ศาสตราจารย์ เรเวน ที่หลบๆซ่อนเพราะร่างกายสีฟ้าของเธอต่างจากคนปกติทั่วไปก่อนที่จะได้พบกับ ชาร์ลส์ เซเวียร์ และเติบโตมาพร้อมกันในฐานะเพื่อน อีริค เลนเชอร์ ที่มีความแค้นต่อ เซบาสเตียน ชอว์ ผู้ที่เคยฆ่าแม่ของเขาตอนยังเป็นเด็กเพียงเพราะต้องการให้เขาแสดงความสามารถ ในการเคลื่อนไหวโลหะ เรื่องราวจบโดยการเสียชีวิตของ เซบาสเตียน ชอว์ และการแยกตัวของสองเพื่อนรักระหว่าง ชาร์ลส์ เซเวียร์กับอีริค เลนเชอร์ ที่เดินหน้าไปคนละทางเพราะคิดกันคนละแบบโดยที่เหล่ามนุษย์กลายพันธ์คนอื่นๆ ที่เลือกอยู่คนละฝ่าย เพื่อนรักทั้งสองคนคิดเห็นไปคนละมุม โดยชาร์ลส์มักจะเห็นว่าชีวิตคนอื่นมีค่าเสมอและไม่พยายามไปเบียดเบียนในขณะ ที่อีริคเพียงแค่ทำในสิ่งที่ต้องการแม้ว่าการกระทำนั้นจะผิดหรือสร้างความ เดือดร้อนให้ใครเขาไม่สนใจ หลังจากที่ทั้งสองต้องเดินทางคนละทางแต่ความเป็นเพื่อนของเขาก็จะไม่มีวัน จางหายไป


วิจารณ์หนัง

          เรียกว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์ประจำซัมเมอร์อีกเรื่องที่คอหนังทั่วโลกตั้งตา คอย และยิ่งเป็นหนังที่ว่าด้วยจุดกำเนิดของมหาสงคราม X-Men ที่คุ้นเคยกันดียิ่งเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดเข้าไปใหญ่ และที่สำคัญเลยก็คือ X-Men: First Class ได้ แมทธิว วอห์น (จาก Kick-Ass) มาเป็นผู้กำกับ ซึ่งรับประกันได้ว่า สนุก ตื่นเต้น เข้มข้น มันส์ สะใจ!และยังจะ เน้นถึงความสัมพันธ์ของเพื่อนรักเพื่อนแค้นระหว่างเซเวียลกับอีริคได้อย่าง ดี เนื้อหาการดำเนินเรื่องของการนำเสนอตัวละครของแต่ละตัวทำได้อย่างลงตัว ซึ่งก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ส่วนที่ชอบเรื่องนี้คือ การรได้รู้เรื่องราวเริ่มต้นของหนังตระกูลเอ๊กซ์แมนที่ว่าเขาทั้งสองคนไม่ ถูกกันเพราะอะไร อะไรคือต้นเหตุที่ทำให้ชาร์ลส์เป็นศาสตราจารย์เอ็กซ์ถึงต้องเป็นอย่างนั้น การกลับมาอีกครั้งของเอ๊กซ์เม็นในครั้งนี้กลับทำให้เกิดความคิดใหม่แต่สิ่ง ที่ได้เพิ่มเติมคือแง่คิดและเนื้อเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาและทำให้ข้อ สงสัยที่เคยมีกระจ่างขึ้นเพราะในหนังกำเนิดวูฟเวอร์รีน กล่าวถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง(ประมาณปี ค.ศ.1939-1945)ส่วนยุคของชาร์ลส์เกิดช่วงสงครามเย็น(ประมาณทศวรรษ 1960)


ข้อดี

1.ทำให้รับรู้ประวัติ

2.แสดงถึงความความสัมพันธ์ มิตรภาพ การแสดงออกระหว่างเพื่อน

3.ทุกฉากของภาพยนตร์ มีองค์ประกอบน่าติดตาม ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง

ข้อเสีย

1.เป็นหนังภาคต่อที่ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ชมในภาคก่อนๆจะทำให้ไม่เข้าใจในเรื่องราว

2.เป็นหนังที่ค่อนข้างเกินความเป็นจริงในสังคม

3.เป็นภาพยนตร์ที่เกินความเป็นจริง ไม่มีทางเป็นไปได้ในสังคม แนววิทยาศาสตร์ ไซไฟน์ เป็นสิ่งที่เหนือจินตนา